โค้ชนิชิโนะให้เหตุผลในการตัดสินใจอย่างนั้นว่าศูนย์หน้าไทยยังไม่เป็นที่ถูกใจเท่าไหร่ เพราะสเป็คที่เขาต้องการคือ ศูนย์หน้าที่ต้องเก็บบอลได้, พาบอลไปกับตัวได้ดี และที่สำคัญพร้อมทำหน้าที่มือสังหารไม่ว่าจะอยู่ตรงส่วนไหนในพื้นที่ของคู่ต่อสู้(จึงเป็นที่มาของการแก้ไขสถานการ์ณด้วยการใช้หน้าตัวหลอก เพราะเขาเชื่อว่าผู้เล่นตัวรุกที่เรียกมาดีพอผลิตสกอร์ให้ทีม)
“หากแต่วันนั้นกับวันนี้อาจไม่เหมือนกัน” เพราะหลายคนก็แอบเชียร์ให้เจ้ามุ้ยได้กลับสู่ทีมอีกครั้ง ถึงขนาดที่ว่าเกมกับยูเออีในเดือนหน้า “หากเจ้าตัวฟิตพอ และโค้ชนิชิโนะเห็นตามว่ามันเหมาะ!” ก็จัดไปเลยครับพี่น้อง
มันสำคัญเอาตรงคำว่า “โค้ชนิชิโนะเห็นว่าเหมาะ” นี่แหละ เพราะตัวนักเตะและแฟนบอลนั้นไม่ได้มีหน้าที่ส่งใครลงสนาม(นักเตะเองก็ส่งตัวเองลงเล่นไม่ได้ ถ้าโค้ชไม่อนุญาติ)
จริงอยู่ที่ว่าประสบการ์ณของมุ้ย ทั้งการเป็นนักเตะไทยคนแรกในลาลีกา, เป็นคนไทยคนแรกที่ทำประตูได้ในเจลีก, มีประสบการ์ณในนามทีมชาติมากกว่าร้อยนัด และที่สำคัญน้องๆในทีมต่างให้การยอมรับ ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา เป็นใครก็ต้องมองว่า “เหมาะ”
หากแต่ว่าแทคติกที่โค้ชนิชิโนะจะใช้ในเกมกับยูเออีนั้น มุ้ยจะเหมาะกับแทคติกนั้นหรือไม่? เขาจะเป็นที่ต้องตามากกว่ากองหน้าไทยรายอื่นหรือเปล่า? และที่สำคัญจนไปถึงวันนั้นสภาพร่างกายของเขาจะพร้อมเต็มร้อยมั้ย? นั่นแหละคำถาม
“ตอบยากนะ” และเวลาจะเป็นผู้เฉลยคำตอบนั้นเอง แต่สำหรับผู้เขียนเองก็ยังเชื่อว่า “ขิงยิงแก่ยิ่งเผ็ด” และคำว่า “ยอมแพ้” มันไม่เคยอยู่ในจิตใจชายผู้นี้อยู่แล้ว
3นัดที่เหลือในไทยลีกหนนี้คงจะไม่ใช่แค่เรื่องของการต่อสู้ของแต่ละสโมสรเท่านั้น หากแต่มันจะเป็นเวทีสู่ทีมชาติของนักเตะไทยหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มือเพชรฆาต” ที่ในเวลานี้ใครจะเป็นตัวเต็ง
#บอล #บอลไทย #ฟุตบอล #ฟุตบอลต่างประเทศ #ฟุตบอลในประเทศ #ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย #ไทยลีก#เติมเงินขั้นต่ำ100บาท